วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับงานสารบรรณ

งานสารบรรณ ยึดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงานสารบรรณ พุทธศักราช 2526 ระเบียบนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2526 เป็นต้นไป

ความหมายของคำต่างๆ
- งานสารบรรณ หมายความว่า งานที่เกี่ยวกับการบริหารงานเอกสาร เริ่มตั้งแต่การจัดทำ การรับ การส่ง การเก็บรักษา การยืม จนถึงการทำลายเอกสาร
- หนังสือ หมายความว่า หนังสือราบการ
- ส่วนราชการ หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม สำนักงานหรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐ ทั้งในราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภค ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น และหมายความรวมถึงคณะกรรมการด้วย
- คณะกรรมการ หมายความว่า คณะบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากทางราชการให้ปฎิบัติงานในเรื่องใดๆ และให้หมายความรวมถึงอนุกรรมการ คณะทำงาน หรือคณะบุคคลอื่นที่ปฎิบัติงานในลักษณะเดียวกัน

ชนิดของหนังสือ
หนังสือราชการ คือ เอกสารที่เป็นหลักฐาน
1. หนังสือที่มีไปมาระหว่างส่วนราชการ
2. หนังสือที่มีส่วนราชการมีไปถึงหน่วยงานอื่นใดที่ไม่ใช่ส่วนราชการ หรือถึงบุคคลภายนอก
3. หนังสือที่หน่วยงานอื่นใด ซึ่งมิใช่ส่วนราชการหรือบุคคลภายนอกมีมาถึงส่วนราชการ
4. เอกสารที่ทางราชการจัดทำขึ้นเพื่อเป็นเอกสาร
5. เอกสารที่ทางราชการจัดทำขึ้นตากฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับ

หนังสือมี 6 ชนิด คือ
1. หนังสือราชการภายนอก
2. หนังสือราชการภายใน
3. หนังสือประทับตรา
4. หนังสือสั่งการ
5. หนังสือประชาสัมพันธ์
6. หนังสือที่เจ้าหน้าที่ทำขึ้นหรือรับไว้เป็นหลักฐาน

หนังสือราชการภายนอก
คือ หนังสือติดต่อทางราชการที่เป็นแบบพิธีโดยใช้กระดาษตราครุฑ เป็นหนังสือติดต่อระหว่างส่วนราชการถึงส่วนราชการ หรือหน่วยงานที่ไม่ใช้ส่วนราชการหรือบุคคลภายนอก

หนังสือราชการภายใน
คือ หนังสือติดต่อราชการที่เป็นแบบพิธีน้อยกว่าหนังสือราชการภายนอก เป็นหนังสือติดต่อภายในกระทรวง ทบวง กรม ใช้กระดาษบันทึกข้อความ

หนังสือประทับตรา
คือ หนังสือที่ใช้ประทับตราแทนการลงชื่อของหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมขึ้นไป โดยให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกองหรือผู้ได้รับมอบหมายเป็นผู้รับผิดชอบลงชื่อย่อกำกับตรา หนังสือประทับตราใช้เฉพาะกรณีไม่ใช่เรื่องสำคัญ

หนังสือสั่งการ
มี 3 ชนิด ได้แก่
1. คำสั่ง คือ บรรดาข้อความที่ผู้บังคับบัญชาสั่งการให้ปฎิบัติโดยชอบด้วยกฎหมาย ใช้กระดาษตราครุฑ
2. ระเบียบ คือ บรรดาข้อความที่ผู้อำนาจหน้าที่ได้วางไว้ โดยจะอาศัยอำนาจของกฎหมายหรือไม่ก็ได้ ใช้กระดาษตราครุฑ
3. ข้อบังคับ คือ บรรดาข้อความที่ผู้มีอำนาจหน้าที่กำหนดให้ใช้โดยอาศัยอำนาจของกฎหมายที่บัญญัติให้กระทำได้ ใช้กระดาษตราครุฑ

หนังสือประชาสัมพันธ์
มี 3 ชนิด ได้แก่
1. ประกาศ คือ บรรดาข้อความที่ทางราชการประกาศหรือชี้แจงให้ทราบหรือแนะนำทางให้ปฎิบัติ ใช้กระดาษตราครุฑ
2. แถลงการณ์ คือ บรรดาข้อความที่ทางราชการแถลงเพื่อทำความเข้าใจในกิจกรรมของทางราชการ ใช้กระดาษตราครุฑ
3. ข่าว คือ บรรดาข้อความที่ทางราชการเห็นสมควรเผยแพร่ให้ทราบ

หนังสือที่เจ้าหน้าที่ทำขึ้นไว้เป็นหลักฐาน
คือ หนังสือที่ทางราชการทำขึ้นมานอกเหนือจากที่กล่าวมาขั้นต้น มี 4 ชนิด คือ
1. หนังสือรับรอง คือ หนังสือที่ส่วนราชการออกให้เพื่อรับรองแก่บุคคล นิติบุคคล หรือหน่วยงาน เพื่อวัตถุประสงค์อย่างใด อย่างหนึ่ง ใช้กระดาษตราครุฑ
2. รายงานการประชุม คือ บันทึกความคิดเห็นของผู้มาประชุม ผู้เข้าร่วมประชุมและมติของที่ประชุมไว้เป็นหลักฐาน
3. บันทึก คือ ข้อความซึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาเสนอต่อผู้บังคับบัญชา ใช้กระดาษบันทึกข้อความ
4. หนังสืออื่น คือ หนังสือหรือเอกสารอื่นใด ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อเป็นหลักฐานในทางราชการ รวมถึงภาพถ่าย ฟิล์ม แถบบันทึกเสียง แถบบันทึกภาพ เป็นต้น


บทเบ็ดเตล็ด
หนังสือที่ต้องควรปฎิบัติให้เร็วกว่าปกติ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. ด่วนที่สุด ให้เจ้าหน้าที่ปฎิบัติในทนทีที่ได้รับหนังสือ
2. ด่วนมาก ให้เจ้าหน้าที่ปฎิบัติโดยเร็ว
3. ด่วน ให้เจ้าหน้าที่ปฎิบัติเร็วกว่าปกติ
การประทับตราชั้นความเร็ว ประทับด้วยอักษรสีแดงขนาดไม่เล็กกว่า 32 ฟร้อย
หนังสือเวียน คือ หนังสือที่มีถึงผู้รับเป็นจำนวนมากมีใจความอย่างเดียวกัน ให้พิมพ์รหัสตัวพยัญชนะ ว. หน้าเลขทะเบียนส่งหนังสือ กำหนดเป็นเลขที่หนังสือเวียนโดยเฉพาะ

การรับและการส่งหนังสือ




การรับหนังสือ
หนังสือรับ คือ หนังสือที่ได้รับเข้ามาจากภายนอกให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานสารบรรณกลางปฎิบัติตามข้อกำหนด
การรับหนังสือที่มีชั้นความลับ ในชั้นลับหรือลับมาก ด้วยระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ให้ผู้ใช้งานหรือผูปฎิบัติงานที่ได้รับการแต่งตั้งให้เข้าถึงเอกสารลับแต่ละระดับเป็นผู้รับผ่านระบบการรักษาความปลอดภัย โดยให้เป็นไปตามระเบียบ ว่าด้วยการรักษาความับของทางราชการ

การส่งหนังสือ
การส่งหนังสือ คือ หนังสือที่ส่งออกไปภายนอกให้ปฎิบัติดังี้
1. ให้เจ้าของเรื่องตรวจคามเรียบร้อยของหนังสือ รวมทั้งสิ่งที่จะส่งไปด้วยให้ครบถ้วน แล้วส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงาน
2. เมื่อเจ้าหน้าที่หน่วยงานสารบรรณกลาง ให้รับเรื่อง
3. ก่อนบรรจุซอง ให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานสารบรรณกลางตรวจความเรียบร้อยของหนังสือ ตลอดจนสิ่งที่ส่งมาด้วยให้เรียบร้อย อีกครั้งหนึ่งแล้วปิดผนึก
4. การจ่าหน้าซอง ให้พิมพ์ชื่อผู้รับ ที่อยู่ ให้เรียบร้อยตามวิธีการพิมพ์ที่ถูกต้อง
5. การส่งหนังสือโดยทางไปรษณีย์ ให้ถือปฎิบัติตามระเบียบการสื่อสารแห่งประเทศไทยกำหนด การส่งหนังสือโดยให้ผู้ส่ง ต้องใช้สมุดส่งหนังสือและให้ผู้รับเซนต์รับหนังสือในสมุดส่งหนังสือ

การเก็บรักษา การยืมและการทำลาย




การเก็บรักษา
การเก็บหนังสือแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
1. การเก็บระหว่างปฏิบัติ คือ การเก็บหนังสือที่ยังปฏิบัติไม่เสร็จให้อยู่ในความรับผิดของเจ้าของเรื่องโดยให้กำหนดวิธีการเก็บ ให้เหมาะสมตามขั้นตอนของการปฏิบัติงาน
2. การเก็บเมื่อปฏิบัติเสร็จแล้ว คือ การเก็บหนังสือที่ปฏิบัติเสร็จเรียบร้อยแล้วและไมมีอะไรที่จะต้องปฏิบัติต่อไปอีก ให้เจ้าหน้าที่ของเจ้าของเรื่อง ปฏิบัติดังนี้
2.1 จัดทำบัญชีหนังสือส่งเก็บ อย่างน้อยให้มีต้นฉบับและสำเนาคู่ฉบับ สำหรับเจ้าของเรื่องและหน่วยเก็บ เก็บไว่อย่างละฉบับ
2.2 ลงหนังสือพร้อมทั้งบัญชีหนังสือส่งเก็บไปให้หน่วยเก็บ
3. การเก็บไว้ใช้ในการตรวจสอบ คือ การเก็บหนังสือที่ปฏิบัติเรียบร้อยแล้ว แต่จำเป็นต้องใช้ในการตรวจสอบเป็นประจำ ให้เจ้าของเรื่องเก็บเป็นเอกเทศเมื่อหมดความจำเป็นที่จำต้องใช้ในการตรวจสอบ ให้ส่งไปยังหน่วยเก็บของส่วนราชการ


การยืมหนังสือ
การยืมหนังสือ ที่ส่งเก็บแล้วให้ปฏิบัติดังนี้
1. ผู้ยืมจะต้องแจ้งให้ทราบว่า เรื่องที่ยืมนั้นจะนำไปใช้ในราชการใด
2. ผู้ยืมจะต้องมอบหลักฐานการยืม ให้เจ้าหน้าที่เก็บแล้วลงชื่อรับเรื่องที่ยืมไว้ในบัตรหนังสือ
3. การยืมหนังสือระหว่างส่วนราชการ ผู้ยืมและผู้อนุญาติให้ยืมต้องเป็นหัวหน้าส่วนราชการ ระดับกองขึ้นไปหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
4. การยืมหนังสือภายในส่วนราชการเดียวกัน ผู้ยืมและผู้อนุญาติให้ยืมต้องเป็นหัวหน้าส่วนราชการระดับแผนกขึ้นไป


การทำลาย
ภายใน 60 วัน หลังจากวันสิ้นปีปฎิทิน ให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการเก็บหนังสือ สำรวจหนังสือที่มีอายุครบกำหนดในปีนั้น แล้วจัดทำบัญชีของทำลาย เสนอหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม เพื่อพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการทำลายหนังสือ
บัญชีหนังสือขอทำลาย ต้องทำไว้ 2 ฉบับ เป็นต้นฉบับ 1 สำเนา 1

หลักการร่างและการพิมพ์จดหมาย



การร่างหนังสือ
การร่างหนังสือ คือการเรียบเรียงข้อความขั้นต้นตามเรื่องที่จะแจ้งความประสงค์ไปยังผู้รับ
หรือผู้ที่ต้องการทราบหนังสือนั้น ก่อนที่จะใช้จัดทำเป็นต้นฉบับ
เหตุที่ต้องร่างหนังสือ เพื่อให้มีการตรวจแก้ไขให้เหมาะสมถูกต้องตามระเบียบแบบแผน
เสียก่อน เว้นแต่หนังสือที่เป็นงานประจำปกติอาจไม่ต้องเสนอร่างตรวจแก้ก็ได้
หลักการร่างหนังสือ คือ ผู้ร่างจะต้องรู้และเข้าใจให้แจ่มแจ้ง แยกประเด็นที่เป็นเหตุผลและความมุ่งหมายที่จะทำหนังสือนั้น โดยตั้งหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องที่จะร่างว่า อะไร เมื่อไหร่ ที่ไหน ใคร ทำไม อย่างไร เป็นข้อ ๆ ไว้ การร่างให้ขึ้นต้นเริ่มใจความที่เป็นเหตุก่อน ต่อไปจึงเป็นข้อความที่เป็นความประสงค์และข้อตกลง ถ้ามีหลายข้อให้แยกเป็นข้อ ๆ เพื่อให้จัดเจนและเข้าใจง่าย ความใดอ้างถึงบทกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง หรือเรื่องตัวอย่างต้องพยายามระบุให้ชัดเจน พอที่ฝ่ายผู้รับจะค้นหามาตรวจสอบได้สะดวก การร่างควรใช้ถ้อยคำสั้นแต่เข้าใจง่าย พยายามใช้คำธรรมดาที่ไม่มีความหมายได้หลายทาง สำนวนที่ไม่เหมาะสมสำหรับใช้เป็นสำนวนหนังสือไม่ควรใช้ควรระวังอักขรวิธี ตัวสะกด การันต์ และวรรคตอนให้ถูกต้อง ข้อสำคัญต้องระลึกถึงผู้ที่จะรับหนังสือว่าเข้าใจถูกต้องตามความประสงค์ที่มีหนังสือไป
การร่างหนังสือโต้ตอบ จะต้องร่างโดยมีหัวข้อตามแบบที่กำหนดไว้ผู้ร่างจะต้องพิจารณาด้วยว่าหนังสือที่ร่างนั้นควรจะมีถึงใครบ้าง หรือควรจะทำสำเนาให้ใครทราบบ้าง เป็นการประสานงาน แล้วบันทึกไว้ในร่างด้วย การอ้างเท้าความต้องพิจารณาว่า เรื่องที่จะร่างนี้ผู้รับหนังสือทราบมาก่อนหรือไม่ ถ้าเคยทราบมาก่อนแล้วความตอนใดที่เป็นเหตุก็ย่อลงได้ หรือถ้าเป็นการตอบหนังสือที่ผู้รับมีมา ข้อความที่เป็นเหตุเพียงแต่อ้างชื่อเรื่องก็พอ การร่างหนังสือไม่ว่าจะร่างถึงผู้ใดก็ตาม ให้ใช้ถ้อยคำสุภาพ และสมกับฐานะของผู้รับ ถ้าเป็นการปฏิเสธคำขอควรแจ้งเหตุผลในการที่ต้องปฏิเสธให้ผู้ขอเข้าใจ
การร่างหนังสือที่มีลักษณะเป็นการสั่งการ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือสั่งการตามระเบียบหรือร่างเป็นหนังสือราชการประเภทอื่น ต้องมีข้อตกลงอันเป็นเหตุเป็นผลเช่นเดียวกับการใช้คำต้องให้รัดกุมอย่าเปิดช่องให้ตีความได้หลายนัย ซึ่งอาจทำให้เกิดการเข้าใจผิด และควรใช้ถ้อยที่ผู้รับคำสั่งสามารถปฏิบัติได้เพื่อให้คำสั่งนั้นได้ผลสมความมุ่งหมาย ข้อความที่เป็นเหตุในคำสั่งจะมีประโยชน์ในการช่วยแสดงเจตนารมณ์ของการสั่งให้ชัด เพื่อสะดวกในการตีความเมื่อจำเป็นและทำให้ผู้ปฏิบัติรู้ความหมายชัดช่วยให้ปฏิบัติได้ถูกต้องและอาจพิจารณาแก้ไขปัญหาได้เมื่อมีอุปสรรค ก่อนร่างควรพิจารณาค้นคว้าว่ามีกฎหมายให้อำนาจสั่งการได้แล้วประการใด คำสั่งต้องไม่ขัดกับกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ถ้าขัดกับคำสั่งเก่าต้องยกเลิกคำสั่งเก่าเสียก่อน
การร่างหนังสือประชาสัมพันธ์ เช่น ประกาศ แถลงการณ์ และข่าว จะต้องร่างตามแบบที่กำหนดไว้ ส่วนข้อความต้องสมเหตุสมผล เพื่อให้ผู้อ่านนึกคิดคล้อยตามเจตนาที่ต้องการ อย่าให้มีข้อขัดแย้งกันในฉบับนั้น หรือขัดแย้งกับฉบับก่อนเว้นแต่เป็นการแถลงแก้ ทั้งนี้ ควรใช้ถ้อยคำสุภาพ ดังนั้น เพื่อความสะดวกในการเขียนร่าง ผู้บังคับบัญชาอาจกำหนดตัวอย่างให้ถือเป็นแนวทางปฏิบัติได้ แต่เพื่อการประหยัด กระดาษร่างจะใช้กระดาษที่มีอยู่ แม้แต่กระดาษที่พิมพ์แล้วหน้าหนึ่งและไม่ใช้ อาจใช้อีกหน้าหนึ่งเป็นกระดาษร่างหนังสือก็ได้ไม่จำเป็นต้องใช้แบบกระดาษร่างโดยเฉพาะผู้ร่างควรเขียนให้ชัดเจน อ่านง่าย เพื่อความสะดวกในการตรวจแก้ร่างก่อนพิมพ์ ถ้าจำเป็นจะเขียนบรรทัดหนึ่งเว้นบรรทัดหนึ่งก็ได้ การเขียนให้เว้นเนื้อที่ของด้านหน้าบรรทัดประมาณ 2.5 เซนติเมตร ด้านหลังบรรทัดประมาณ 2 เซนติเมตร เพื่อใช้เป็นที่สำหรับเขียนคำแนะนำในการพิมพ์เมื่อร่างเสร็จให้เสนอตัวร่างและเรื่องประกอบที่สมบูรณ์ขึ้นไปให้ผู้บังคับบัญชาตรวจร่างและพิจารณาสั่งพิมพ์เมื่อได้พิมพ์หนังสือฉบับนั้นและตรวจถูกต้องแล้ว ไม่จำเป็นต้องเก็บรักษากระดาษร่างไว้ เว้นแต่เรื่องสำคัญควรเก็บไว้ประกอบเรื่อง


หลักการเขียนจดหมายราชการ
จดหมายราชการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณเรียกว่า “หนังสือภายนอก” หมายถึง หนังสือที่มีไปมาระหว่างส่วนราชการ หรือจากหน่วยราชการหนึ่งมีไปถึงหน่วยราชการอื่น อาจจะมิใช่ส่วนราชการ หรือบุคคลภายนอกเป็นหนังสือติดต่อราชการที่เป็นแบบพิธีโดยใช้กระดาษตราครุฑ
ก่อนเขียนจดหมายราชการทุกครั้ง จะต้องคำนึงถึง เขียนเรื่องอะไร เขียนถึงใคร เขียนทำไม เขียนอย่างไร
เขียนเรื่องอะไร นั้น เพื่อให้ตรงเป้าหมาย ได้สาระครบถ้วนตามที่ประสงค์ โดยการแจ้งและย่อเรื่อง ลงหัวเรื่องของจดหมายได้รัดกุมถูกต้อง จัดวรรคตอนให้ชัดเจนหากมีหลายกรณีที่จะกล่าวถึงในจดหมายฉบับเดียวกัน เขียนถึงใคร การเขียนถึงใครนั้น เพื่อจะได้ใช้คำขึ้นต้นสรรพนาม คำลงท้าย ถ้อยคำ สำนวน เหมาะสมกับผู้รับจดหมาย เขียนอย่างไร การเขียนจดหมายราชการนั้นเป็นสื่อความต้องการ และความสัมพันธ์อันดีแล้ว นอกจากเป็นเอกสารอ้างอิงเป็นหลักฐานได้เวลานาน


การเขียนจดหมายราชการ
การเขียนจดหมายราชการ ต้องใช้กระดาษตราครุฑ (กระดาษขาว 60 กรัม ขนาด
21 มล.x297 มล) พิมพ์ครุฑขนาดตัวครุฑสูง 3 ซม. ด้วยหมึกสีดำ
ส่วนต่าง ๆ ของจดหมายราชการ แยกเป็น 4 ส่วน คือ
1. หัวเรื่อง
2. เนื้อเรื่อง
3. จุดประสงค์ของเรื่อง
4. ท้ายเรื่อง

การเขียนและการพิมพ์





การเขียนและการพิมพ์
การเขียนและการพิมพ์ หมายถึง การทำให้เกิดลายลักษณ์อักษรเป็นข้อความบนกระดาษ
การเขียน ส่วนใหญ่จะใช้ในการร่างหนังสือ จดรายงานการประชุมและใช้ในกรณีที่ส่วนราชการไม่มีเครื่องพิมพ์ดีด ลักษณะการเขียนทั่วไปจะต้องเขียนให้อ่านและเข้าใจง่าย
เอกสารบางลักษณะที่ต้องเขียนเป็นแบบพิเศษ เช่น งานอาลักษณ์ ต้องใช้ลายมือและตัวเขียนโดยเฉพาะ
การพิมพ์ หมายถึง การพิมพ์โดยใช้เครื่องพิมพ์ ปกติแล้วงานใดที่เป็นเอกสารทั่ว ๆ ไป สามารถใช้เครื่องพิมพ์ดีด เพื่อให้อ่านง่ายและสามารถทำสำเนาได้ง่าย
ผู้พิมพ์ควรมีความระมัดระวังในการพิมพ์ กล่าวคือ พิมพ์ไม่ตก มีความรู้ในตัวสะกด การันต์ ตัวย่อ และควรมีความรู้รอบตัวนอกเหนือจากการพิมพ์หนังสืออีก เช่น เข้าใจข้อความในหนังสือนั้น จัดวรรคตอนได้ถูกต้องเมื่อจำเป็น รู้หลักภาษา รู้แบบ หนังสือราชการ ชื่อส่วนราชการ ชื่อและตำแหน่งในวงราชการ รู้จักและอ่านลายมือผู้ร่างที่เกี่ยวข้องได้ดี พิจารณาการใช้กระดาษ วางรูปหนังสือ สามารถจัดลำดับและแบ่งงานให้เหมาะสม และรู้จักรักษาเครื่องพิมพ์ดีดให้สะอาดอยู่ในสภาพที่ใช้การได้อยู่เสมอ

หลักเกณฑ์การพิมพ์
การพิมพ์หนังสือราชการภาษาไทย มีหลักเกณฑ์การพิมพ์ดังนี้
1. การพิมพ์หนังสือราชการที่ต้องใช้กระดาษตราครุฑ แต่ให้มีคุณภาพเช่นเดียวหรือใกล้เคียง
กับแผ่นแรก
2. การพิมพ์หัวข้อต่าง ๆ ให้เป็นไปตามแบบหนังสือที่กำหนดไว้ในระเบียบ
3. การพิมพ์ 1 หน้ากระดาษ ขนาด เอ 4 โดยปกติให้พิมพ์ 25 บรรทัด บรรทัดแรกของกระดาษ
อยู่ห่างจากขอบกระดาษด้านบนประมาณ 5 เซนติเมตร
4. การกั้นระยะในการพิมพ์
4.1 ในบรรทัดหนึ่งให้ตั้งจังหวะเคาะของพิมพ์ดีดไว้ 70 จังหวะเคาะ
4.2 ให้ขั้นระยะห่างจากขอบกระดาษด้านซ้ายมือ ประมาณ 3 เซนติเมตร เพื่อความสะดวก
ในการเก็บเข้าแฟ้ม
4.3 ตัวอักษรสุดท้ายควรห่างจากขอบกระดาษด้านขวาไม่น้อยกว่า 2 เซนติเมตร
5. ถ้าคำสุดท้ายของบรรทัดมีหลายพยางค์ไม่สามารถพิมพ์จบคำในบรรทัดเดียวกันได้ให้ใช้
เครื่องหมาย ยัติภังค์ (-) ระหว่างพยางค์
6. การย่อหน้าซึ่งใช้ในกรณีที่จบประเด็นแล้ว จะมีการขึ้นข้อความใหม่ให้เว้นห่างจากระยะ
กั้นหน้า 10 จังหวะ
7. การเว้นบรรทัดโดยทั่วไปจะต้องเว้นบรรทัดให้ส่วนสูงสุดของตัวพิมพ์และส่วนต่ำสุดของตัว
พิมพ์ไม่ทับกัน
8. การเว้นวรรค
8.1 การเว้นวรรค โดยทั่วไป เว้น 2 จังหวะเคาะ
8.2 การเว้นวรรคระหว่างหัวข้อเรื่องกับเรื่องให้เว้น 2 จังหวะเคาะ
8.3 การเว้นวรรคในเนื้อหา เรื่องที่พิมพ์มีเนื้อหาเดียวกัน ให้เว้น 1 จังหวะ ถ้าเนื้อหาต่างกัน
ให้เว้น 2 จังหวะเคาะ
9. การพิมพ์หนังสือที่มีหลายหน้า ต้องพิมพ์เลขหน้า โดยให้พิมพ์ตัวเลขหน้ากระดาษไว้ระหว่าง
เครื่องหมายยัติภังค์(-) ที่กึ่งกลางด้านบนของกระดาษ ห่างจากขอบกระดาษทางซ้ายมาประมาณ 3 เซนติเมตร
10. การพิมพ์หนังสือที่มีความสำคัญ และมีจำนวนหลายหน้า ให้พิมพ์คำต่อเนื่องของข้อความที่
จะยกไปพิมพ์หน้าใหม่ไว้ด้านล่างทางมุมขวาของหน้านั้น ๆ แล้วตามด้วย…(จุด 3 จุด) โดยปกติให้เว้นระยะห่าง__จากบรรทัดสุดท้าย 3 ระยะบรรทัดพิมพ์ และควรจะต้องมีข้อความของหนังสือเหลือไปพิมพ์ในหน้าสุดท้ายอย่างน้อย 2 บรรทัด ก่อนพิมพ์คำลงท้าย

การทำสำเนาหนังสือ

การทำสำเนาหนังสือ
สำเนาหนังสือ คือเอกสารที่จัดทำขึ้นเหมือนต้นฉบับไม่ว่าจะจัดทำจากต้นฉบับ สำเนาคู่ฉบับ หรือจากสำเนาอีกชั้นหนึ่ง
ในกรณีมีความจำเป็นต้องใช้เอกสารราชการนั้น ๆ เพิ่มขึ้น และเอกสารเหล่านั้นไม่ได้จัดทำไว้หลายฉบับ จำเป็นต้องจัดทำสำเนาขึ้นเพื่อให้เป็นหลักฐานในการประกอบการพิจารณาของทางราชการ การทำสำเนาอาจทำได้หลายวิธี ดังนี้
1. วิธีคัดลอกออกจากต้นฉบับ คำต่อคำ ให้ถูกต้องกับต้นฉบับเดิม
2. วิธีถอดหรือจัดทำพร้อมต้นฉบับ เช่น พิมพ์ต้นฉบับพร้อมสำเนาเดิมการใช้กระดาษคาร์บอน
3. วิธีถ่ายจากต้นฉบับ เช่น การถ่ายด้วยเครื่องถ่ายเอกสาร
4. วิธีส่งภาพเอกสารด้วยเครื่องมือสื่อสาร เช่น โทรสาร
5. วิธีอัดสำเนา ด้วยการทำให้หมึกที่กระดาษไขต้นฉบับติดที่กระดาษสำเนา

ประเภทของสำเนา
สำเนาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. “สำเนาคู่ฉบับ” เป็นสำเนาที่จัดทำพร้อมกับต้นฉบับ และเหมือนต้นฉบับ ผู้ลงลายมือชื่อใน
ต้นฉบับจะลงลายมือชื่อ หรือลายมือชื่อย่อไว้ และให้ผู้ร่าง ผู้พิมพ์และผู้ตรวจลงลายมือชื่อหรือลายมือชื่อย่อไว้ที่ข้างท้ายขอบล่างด้านขวาของหนังสือในกรณีที่มีการลงชื่อในกระดาษไข ให้เจ้าหน้าที่เจ้าของเรื่องลงลายมือชื่อกำกับในสำเนาคู่
ฉบับไว้เป็นหลักฐาน
2. “สำเนา” เป็นสำเนาที่ส่วนราชการหรือเจ้าหน้าที่จัดทำขึ้น สำเนานี้อาจทำขึ้นด้วยการ ถ่ายคัดอัดสำเนา หรือด้วยวิธีอื่นใด สำเนาชนิดนี้โดยปกติต้องมีการรับรองการรับรองสำเนา ให้มีคำรับรองว่า “สำเนาถูกต้อง” และให้เจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับ 2 หรือเทียบเท่าขึ้นไป ซึ่งเป็นเจ้าของเรื่องที่ทำสำเนานั้น ลงลายมือชื่อรับรองพร้อมทั้งลงชื่อตัวบรรจง ตำแหน่ง และวัน เดือน ปี ที่รับรอง และโดยปกติให้มีคำว่า “สำเนา” ไว้ที่กึ่งกลางหน้า เหนือบรรทัดแรกของสำเนาหนังสือด้วย

รายงานการประชุม

รายงานการประชุม
คณะกรรมการประจำคณะครั้งที่ 3 (3/2552)
คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
วันอังคารที่ 21 เมษายน 2552
ณ ห้องประชุมกองกลาง ชั้น 2 อาคารอำนวยการ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ภาคพายัพ เชียงใหม่


ผู้มาประชุม
1.นางสาวอารยา พัชรเมธา (คณบดีคณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์)
2.ผศ.นิศรา จันทร์เจริญสุข (รองคณบดีฝ่ายบริหาร)
3.นายสมใจ ชื่นวัฒนาประณิธิ (รองคณบดีฝ่ายวิชาการและกิจการนักศึกษา)
4.นายราเชนทร์ ชูศรี (รองคณบดีเขตพื้นที่เชียงราย)
5.นายวิกร จันทรวิโรจน์ (รองคณบดีเขตพื้นที่ลำปาง)
6.ผศ.กนกรัตน์ ดวงพิกุล (รองคณบดีเขตพื้นที่น่าน)
7.นางกรรณิการ์ ฤทธิ์ขุน (รองคณบดีเขตพื้นที่ตาก)
8.นางสาวสุรีย์พร ใหญ่สง่า (รองคณบดีเขตพื้นที่พิษณุโลก)
9.นายสุพงศ์ แดงสุริยศรี (หัวหน้าสาขาวิชาบริหารธุรกิจ)
10.นางสุทธิดา จันทร์คง (หัวหน้าสาขาวิชาการบัญชี)
11.ผศ.ลลิตพรรณ จรรย์สืบศรี (ตัวแทนคณาจารย์ประจำคณะ)
12.นายเสน่ห์ สวัสดิ์ (ตัวแทนคณาจารย์ประจำคณะ)
13.นายพรหมินทร์ รธนิตย์ (ผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก)
14.รศ.พรทิพย์ เธียรธีรวิทย์ (ผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก)

ผู้ไม่มาประชุม
1.นางวันดี สุธารัตนชัยพร (หัวหน้าสาขาวิชาศิลปศาสตร์)

ผู้เข้าร่วมประชุม
1.นางพิมพ์หทัย บำรุงกิจ (ผู้ช่วยคณบดีเขตพื้นที่ลำปาง)
2.นางพวงทอง วังราษฎร์ (อาจารย์เขตพื้นที่ลำปาง)
3.นางสาวฟองจันทร์ หลวงจันทร์ดวง (อาจารย์เขตพื้นที่ลำปาง)
4.นางสาวปิยะพร เสมาทอง (เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะ)
5.นางสาวฐานิญา อิสสระ (อาจารย์เขตพื้นที่น่าน)

ประธานในที่ประชุม คณบดีคณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์

เริ่มประชุมเวลา 09.40 น.

วาระที่ 1 เรื่องแจ้งให้ที่ประชุมทราบ
1.1 การจัดการการศึกษา Liberal Arts
ประธานในที่ประชุมมอบหมายให้รองคณบดีเขตพื้นที่พิษณุโลกชี้แจงเกี่ยวกับการไปไประชุมในเรื่องการจัดการการศึกษา Liberal Arts จากการประชุมเกี่ยวกับ Liberal Arts มีแนวทางในการวิจัยไว้ 4 หัวข้อหลัก ๆ ดังนี้
1. ความเป็นมา
2. ปัญญา
3. แนวคิด
4. การจัดการศึกษาแนว Liberal Arts
ทิศทางการจัดการการศึกษา Liberal Arts ในปัจจุบันคำนึงถึงการที่เราเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก การเปิดโลกทัศน์ต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรม การบูรณาการองค์ความรู้ เพื่อบ่มความเพาะจิตนาการทางความคิด การเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียน สำหรับการดำรงชีวิตทามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหรือการผันผวนตามกระแสโลก ซึ่งการจัดการการศึกษา Liberal Arts จะเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนมีการปรับตัวตามกระแสวิกฤตของที่เกิดขึ้น
มติที่ประชุม ที่ประชุมรับทราบ
1.2 การลงนามของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กับมหาวิทยาลัยคู่สัญญา
ประธานในที่ประชุมมอบหมายให้รองคณบดีเขตพื้นที่ลำปางชี้แจงเกี่ยวกับการไปประชุม การลงนามของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กับมหาวิทยาลัยคู่สัญญา ไว้ดังนี้
1.2.1 การปรับปรุงหลักสูตรปริญญาโท ทั้ง 4 มหาวิทยาลัย ให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงวิกฤตของโลก ซึ่งให้มหาวิทยาลัยทั้ง 4 มหาวิทยาลัย มีการพัฒนาหลักสูตร โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายผู้เรียนเป็นผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาวิกฤตโลก
1.2.2 หลักสูตรส่วนใหญ่เป็นการเน้นหลักสูตรเฉพาะ
มติที่ประชุม ที่ประชุมรับทราบ ทางรองคณบดีเขตพื้นที่ลำปาง จะจัดทำบทสรุป การลงนามของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กับมหาวิทยาลัยคู่สัญญา พร้อมซีดี จัดส่งมาให้กับคณบดีคณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์
1.3 ร่างจรรยาบรรณวิชาชีพ
ประธานในที่ประชุมแจ้งในเรื่องของร่างจรรยาบรรณที่คณะได้จัดทำขึ้น เนื่องจากจรรยาบรรณมหาวิทยาลัยได้มีการปรับเปลี่ยนใหม่ จึงทำให้ร่างจรรยาบรรณของคณะบริหารธุรกิจและ ศิลปะศาสตร์ต้องชะลอไว้ก่อน ทั้งนี้เมื่อจรรยาบรรณวิชาชีพของมหาวิทยาลัยเรียบร้อยแล้วจะนำร่างจรรยาบรรณของคณะฯ กลับมาพิจารณาอีกครั้ง
มติที่ประชุม ที่ประชุมรับทราบ

วาระที่ 2 พิจารณาร่างแผนยุทธศาสตร์คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์
รองคณบดีฝ่ายวิจัยและพัฒนาชี้แจงร่างแผนยุทธศาสตร์คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ ซึ่งในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ทางฝ่ายวิจัยและพัฒนาได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการการจัดทำแผนยุทธศาสตร์โดยเฉพาะ และได้มีการจัดประชุมการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ไปเมื่อวันที่ 8-9 เมษายน 2552 ที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้เกิดร่างแผนยุทธศาสตร์ฉบับนี้ขึ้นมาจากการระดมสมองของคณะกรรมการและ รองคณบดีแต่ละเขตพื้นที่ ซึ่งได้มีการกำหนดทิศทางของคณะฯ เพื่อนำไปสู่การคิดอัตลักษณ์ของคณะฯ โดยมีทิศทาง ดังนี้
การบริหารจัดการพื้นที่สูง และพื้นที่ชายแดนในกรอบ GMS สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ในบริบทของนวัตกรรมการจัดการสมัยใหม่ที่สอดคล้องกับศักยภาพการแข่งขันของพื้นที่และสนับสนุนศาสตร์แขนงอื่น
1. กรอบมหาวิทยาลัย High land GMS Sustainable
2. ตัวตนของคณะ Management Innovation in Northern Competitive Landscape
3. สนับสนุนคณะอื่น Modern Management +IT
ซึ่งผู้ทรงคุณวุฒิได้เสนอแนะให้มีการบอกถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของคณะฯ โดยผู้ทรงคุณวุฒิได้แบ่งมุมมองออกเป็น 4 ส่วน คือ ครู, นักศึกษา, หลักสูตรและการะบวนการเรียนการสอน เพื่อหาจุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละมุมอง เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้แต่ละมุมมอง
มติที่ประชุม ที่ประชุมรับทราบและร่วมกันเพิ่มเติม แก้ไขร่างแผนยุทธศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ ดังนี้ (ซึ่งในส่วนที่เพิ่มเติมและแก้ไขจะเป็นข้อความที่ขีดเส้นใต้)

วาระที่ 3 ร่วมพิจารณาแผนพัฒนาการประกันคุณภาพการศึกษา
ประธานในที่ประชุมมอบหมายให้อาจารย์สุรีย์พร ใหญ่สง่า ชี้แจ้งปฏิทินการจัดทำรายงาน การประเมินตนเอง (SAR) และการตรวจประเมินคุณภาพภายใน ปีการศึกษา 2551
มติที่ประชุม ที่ประชุมรับทราบ ในการส่งข้อมูลกับมายังคณะฯ ให้ลงวันและเวลา กำกับให้ชัดเจนทุกครั้ง เพื่อง่ายต่อการตรวจสอบข้อมูลในการเก็บรวมรวมอีกครั้ง

วาระที่ 4 อื่น ๆ
เรื่องที่ 1 การพิจารณาการรับรองรายงานการประชุม
รองคณบดีคณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ ภาคพายัพ เชียงใหม่ ร่วมกับในที่ประชุมพิจารณารายงานการประชุมคณะกรรมการประจำคณะ ครั้งที่ 2 (2/2552) ซึ่งในที่ประชุมขอแก้ไข ดังนี้

วาระที่ 5 การพิจารณาเงินประจำตำแหน่งหัวหน้าสาขา ประธานหลักสูตร
ส่วนที่แก้ไข รองคณบดีคณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์เขตพื้นที่ลำปาง ชี้แจงเกี่ยวกับการได้รับเงินประจำตำแหน่งตามโครงสร้างการบริหารงานของมหาวิทยาลัย คือ คณบดี รองคณบดี 3 ฝ่าย และหัวหน้าภาคหรือเทียบเท่า ซึ่งทางคณะฯ ได้เทียบเท่าหัวหน้าภาคไว้ในตำแหน่งหัวหน้าสาขา ซึ่งในการนี้หัวหน้าสาขาทั้ง 3 ท่านยังคงมีสิทธิ์ได้รับเงินประจำตำแหน่งจากเงินงบประมาณ แต่ในส่วนของผู้ช่วยคณบดีจะยังคงไม่ได้รับตามโครงสร้าง แต่ควรจะพิจารณาให้ได้รับจากเงินผลประโยชน์

วาระที่ 6 การพิจารณากรอบอัตรากำลัง
ส่วนที่แก้ไข ประธานในที่ประชุมชี้แจงเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการบรรจุอาจารย์และชี้แจงเกี่ยวกับกรอบอัตรากำลังที่ทางมหาวิทยาลัยฯ จัดสรรให้คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ จากอัตราโดยรวมที่ทั้ง 4 คณะ ได้รับคือ 26 อัตรา โดยทั้ง 4 คณะได้ประชุมกันและสรุปตกลงกันว่าควรแบ่งอัตรากำลังของแต่ละคณะตามสัดส่วนของจำนวนอาจารย์อัตราจ้างที่มีอยู่ คณะฯ ได้รับกรอบอัตรากำลัง จำนวน 9 อัตราแต่เนื่องจากมหาวิทยาลัยฯ ได้คืนอัตราเกษียณอายุราชการขาดไป 1 อัตรา ดังนั้นจึงต้องนำอัตราใหม่ 1 อัตรามาชดเชยให้กับอัตราเกษียณอายุราชการ จึงทำให้คงเหลือจำนวนอัตรากำลังใหม่ 8 อัตรา ทางคณะฯ จึงพิจารณา การจัดสรรอัตรากำลังให้กับแต่ละเขตพื้นที่จำนวนพื้นที่ละ 1 อัตรา ส่วนจำนวน คงค้างอีก 2 อัตราจะคงค้างไว้ให้กับจำนวนอาจารย์ที่สมัครในวุฒิปริญญาเอกหรือปริญญาโทให้กับเขตพื้นที่ ที่มีอาจารย์จ้างสอนจำนวนมาก
ส่วนที่แก้ไข จากการประชุมคณะกรรมการประจำคณะครั้งที่ 2 เป็น ประชุมคณะกรรมการประจำคณะครั้งที่ 3
มติที่ประชุม ที่ประชุมรับทราบ

เรื่องที่ 2 กรอบอัตรากำลัง
ประธานในที่ประชุมชี้แจ้งเรื่องสืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการประจำคณะครั้งที่ 2 (2/2552) ว่าด้วยเรื่องกรอบอัตรากำลังที่ยังแขวนไว้ใน 2 อัตรา ควรมีการจัดสรรอย่างไร ให้เขตพื้นที่ใด ซึ่งในที่ประชุม รองคณบดีเขตพื้นที่ลำปางได้ชี้แจงเกี่ยวกับความต้องการกรอบอัตรากำลัง ทั้ง 2 อัตรา ไว้ดังนี้
• ทางเขตพื้นที่ลำปางมีจำนวนอาจารย์อัตราจ้างเป็นจำนวนมากที่ยังไม่มีโอกาสได้รับบรรจุให้เป็นข้าราชการ ถ้าเป็นเช่นนี้จะส่งผลให้อาจารย์อัตราจ้างลดลงเนื่องจากการลาออกไปทำงานที่อื่น ส่งผลกระทบต่อการเรียนการสอน และการที่อาจารย์อัตราจ้างไม่สามารถทำผลงานทางวิชาการได้ ทั้ง ๆ ที่อาจารย์อัตราจ้างมีศักยภาพเพียงพอในการทำผลงานทางวิชาการ ซึ่งถ้าหากอาจารย์อัตราจ้างได้รับอัตราบรรจุให้เป็นข้าราชการจะสามารถเพิ่ม KPI ในส่วนของการทำผลงานทางวิชาการและเป็นขวัญกำลังใจในการทำงานต่อไป
• เขตพื้นที่ลำปางประสบปัญหาการขอความร่วมมือในการทำงานด้านต่าง ๆ จากอาจารย์ข้าราชการ ดังนั้นงานของคณะฯ จะได้รับการช่วยเหลือจากอาจารย์อัตราจ้างเป็นส่วนใหญ่
• อาจารย์อัตราจ้างของเขตพื้นที่ลำปางมีแนวโน้มที่จะศึกษาต่อระดับปริญญาเอก ซึ่งจะมีผลให้ทางคณะฯ ได้รับ KPI เพิ่มขึ้น ในจำนวนอาจารย์อัตราจ้างทั้งหมดมีผู้สนใจที่จะศึกษาต่อมีจำนวน 5 ท่าน เมื่อมีการสนับสนุนให้อาจารย์ศึกษาต่อระดับปริญญาเอก ควรมีการสนับสนุนจำนวนกรอบอัตรากำลังที่คงค้าง จำนวน 2 อัตรา นี้จัดสรรให้กับอาจารย์ตามพื้นที่ต่าง ๆ ก่อน เพื่อเสริมสร้างขวัญและกำลังใจและเพื่อที่จะให้อาจารย์ได้นำความรู้มาพัฒนาการเรียนการสอนให้ดียิ่งขึ้น ดีกว่าการนำอัตราจำนวนนี้มอบให้แก่อาจารย์ที่กำลังจะมาสมัครเป็นอาจารย์ใหม่ของแต่ละพื้นที่
มติที่ประชุม ที่ประชุมรับทราบและยอมรับการจัดสรรกรอบอัตรากำลังจำนวน 2 อัตรา ให้กับคณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ เขตพื้นที่ลำปาง ซึ่งมีเงื่อนไขในการจัดสรรกรอบอัตรากำลังครั้งต่อไปไว้ ว่า ควรมีข้อกำหนดการจัดสรรกรอบอัตรากำลังที่แน่นอน และหากมีอัตราที่แขวนไว้เช่นครั้งนี้ จะต้องมี การจัดลำดับความสำคัญในการจัดสรร โดยหาจุดอ่อนของแต่ละเขตพื้นที่ เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งในการเรียนการสอนของพื้นที่นั้น ๆ ต่อไป โดยประธานมอบหมายให้รองคณบดีฝ่ายบริหารเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการ

เรื่องที่ 3 การเสนอหลักสูตร
การเสนอหลักสูตรต่าง ๆ เข้าที่ประชุมกรรมการวิชาการ จะต้องผ่านการประชุมคณะกรรมการประจำคณะทุกหลักสูตร ซึ่งในปัจจุบันหลักสูตรการบัญชีและหลักสูตรสารสนเทศกำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงใหม่ เพื่อเสนอเข้าต่อสภาวิชาการต่อไป
มติที่ประชุม ที่ประชุมรับทราบ เห็นว่าควรมีการตั้งกรรมการในการอ่าน เนื้อหาและความถูกต้องของถ้อยคำและตัวอักษรให้ถูกต้องก่อนการเสนอพิจารณาหลักสูตร

เรื่องที่ 4 การเลือกตัวแทนหัวหน้าสาขา
เนื่องจากหัวหน้าสาขาวิชาบริหารธุรกิจ ภาคพายัพ เชียงใหม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ ทำให้ต้องมีการเลือกตัวแทนหัวหน้าสาขาวิชาบริหารธุรกิจใหม่ เพื่อร่วมเป็นคณะกรรมการประจำคณะ
มติที่ประชุม ที่ประชุมรับทราบและจะจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการประจำคณะ ครั้งที่ 4 เป็นการประชุมเฉพาะกิจ เรื่อง การเลือกตัวแทนหัวหน้าสาขา ซึ่งผู้ร่วมประชุมต้องมีหัวหน้าสาขาบริหารร่วมประชุมด้วย การประชุมจะจัดขึ้นในวันที่ 24 เมษายน 2552 เป็นการประชุมแบบ VDO Conference

เรื่องที่ 5 การตั้งคณะอนุกรรมการประจำคณะ
ที่ประชุมเสนอให้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการประจำคณะฝ่าย ๆ เพื่อช่วยให้การบริหารงานของคณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ
มติที่ประชุม ที่ประชุมรับทราบ ในการประชุมคณะกรรมการประจำคณะครั้งที่ 4 จะได้กำหนดวาระการประชุม เรื่อง การตั้งอนุกรรมการประจำคณะฝ่ายต่าง ๆ เข้าไปด้วย และมอบหมายให้รองคณบดี ฝ่ายบริหารได้จัดทำแบบฟอร์มการเสนอรายชื่ออนุกรรมการประจำคณะ

เรื่องที่ 6 คุณภาพการเรียนการสอน
รองคณบดีคณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ เขตพื้นที่ลำปาง ชี้แจ้งปัญหาเกี่ยวกับการเรียนการสอน เนื่องจากอาจารย์ของคณะฯ ในแต่ละพื้นที่ต่าง ๆ ได้รับหน้าที่ให้ทำงานในส่วนงานของกองและฝ่ายต่าง ๆ จึงทำให้มีผลกระทบต่อการเรียนการสอน ทำให้คุณภาพการเรียนการสอนลดต่ำลง
มติที่ประชุม ที่ประชุมรับทราบ

เรื่องที่ 7 การพิจารณาผู้สมควรได้รับปริญญากิตติมศักดิ์
ประธานในที่ประชุมสอบถามรองคณบดีในแต่ละเขตพื้นที่เกี่ยวกับเรื่อง การเสนอรายชื่อผู้สมควรได้รับปริญญากิตติมศักดิ์ ใน 3 สาขาวิชา ซึ่งมีเพียงรองคณบดีคณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ ภาคพายัพ เชียงใหม่ เสนอรายชื่อ ได้แก่
1. นายประโพธ ปีติยา บริหารธุรกิจบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (การจัดการ)
2. นายบุญช่วย กอบกิจพานิชผล บริหารธุรกิจบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (การบัญชี)
ส่วนทางคณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์เขตพื้นที่อื่น ๆ ยังคงไม่มีการเสนอรายชื่อ
มติที่ประชุม ที่ประชุมเห็นชอบรายชื่อผู้สมควรได้รับปริญญากิตติมศักดิ์ จำนวน 2 ราย ดังเสนอและจะแจ้งสำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียนเพื่อดำเนินการต่อไป

ปิดประชุมเวลา 14.45 น.


(นางสาววราภรณ์ ใจเทพ)
ผู้บันทึก/ผู้พิมพ์รายงานการประชุม


(ผศ. นิศรา จันทร์เจริญสุข)
ผู้ตรวจรายงานการประชุม/รองคณบดีฝ่ายบริหาร
รักษาราชการแทน คณบดีคณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์